Month: August 2020
-
ถ้าเลือกได้ ใครๆก็อยากปราศจากโรคภัยเจ็บ
ช่วงนี้ที่ญี่ปุ่น มีข่าวผู้นำประเทศญี่ปุ่น นายกฯชินโสะ อาเบะ ป่วยจนต้องเข้ารับการตรวจรักษาในโรงพยาบาลอย่างต่อเนื่อง ทั้งนี้ยังไม่มีการระบุถึงสาเหตุหรืออาการป่วย มีแค่เพียงแต่การคาดเดากันไปต่างๆนา ทำให้นึกถึงคำกล่าวไทยที่ว่า “อโรคยา ปรมาลาภา” ความไม่มีโรคเป็นลาภอันประเสริฐ หากเลือกได้จริง เชื่อว่าใครๆก็อยากจะปราศจากโรคภัยด้วยกันทั้งนั้น แต่ในสถานการณ์โลกที่แสนหนักหน่วงในปัจจุบันนี้ แม้แต่นายกฯของญี่ปุ่น ยังถึงกับล้มหมอนนอนเสื่อได้ ปีนี้ถ้าจะให้พูดกันตามตรง ถือเป็นปีที่หนักหน่วงสำหรับประเทศญี่ปุ่นอีกปีหนึ่งก็อาจจะเรียกได้ไม่ผิดนัก แน่นอนว่า โควิด คือสาเหตุหลัก ในขณะที่ทั่วโลกก็โดนเล่นงานโดยพิษโควิดนี้ ไม่มีเว้น แต่ญี่ปุ่นนั้น อาจจะน่าเห็นใจมากกกว่าสักหน่อย เพราะจริงๆแล้ว ปีนี้ถ้าไม่มีเรื่องโควิดเข้ามา ประเทศญี่ปุ่นจะได้เป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก มหกรรมกีฬาที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของ โลก และญี่ปุ่นก็รอคอยโอกาสในการได้จัดกีฬาโอลิมปิกมายาวนาน นับตั้งแต่การจัดการแข่งขันโอลิมปิก ฤดูร้อน ทั้งสุดท้ายในปี 1964 ในขณะที่ทุกภาคส่วนของญี่ปุ่นได้เตรียมการ เตรียมความพร้อมเพื่อการนี้ และหมายมาดคาดหวังว่าปี 2020 จะเป็นอีกปีที่ญี่ปุ่นได้โชว์ ศักยภาพให้ชาวโลกประจักษ์ และสามารถเร่งเครื่องเศรษฐกิจจากเม็ดเงินที่จะไหลเวียนมาจากผู้ชมที่เข้าร่วมจากนานาประเทศทั่วโลก แต่คนคำนวณบางครั้งก็ไม่สู้ฟ้าลิขิต ไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตามที่ทำให้เกิดการระบาดของโควิดขึ้นนั้น ได้ทำให้กีฬาโอลิมปิกในปีนี้ล้มไม่เป็นท่า ต้องเลื่อนการจัดการแข่งขันไปในปีหน้า ซึ่งสุดท้ายก็ยังไม่มีใครสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า ในปีหน้าจะมีการจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิกร้อยเปอร์เซ็นต์หรือไม่ ในญี่ปุ่นทั้งเรื่องเศรษฐกิจที่ทรุดฮวบ และการระบาดของโควิดที่ยังดูเหมือนว่าตัวเลขผู้ติดเชื้อในญี่ปุ่น ยังไม่มีแนวโน้มลดลง เฉพาะโตเกียวที่เดียว…
-
ถ้าคุณอดทนทำอะไรได้นานพอ สุดท้ายแล้วก็คุณก็จะประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น
ญี่ปุ่นมีคำกล่าวหนึ่งที่ว่า 冷たい石でも3年座っていたら暖かくなるでしょう “If you persevere, you will eventually succeed” แปลเป็นไทยก็คือ ถ้าคุณอดทนทำอะไรได้นานพอ สุดท้ายแล้วก็คุณก็จะประสบความสำเร็จในสิ่งนั้น เช่นเดียวกับหิน แม้ในตอนแรก หินนั้นจะเย็นยะเยือกเฉียบเพียงใดก็ตาม แต่หากคุณนั่งบนหินนั้นไปสักสามปี สุดท้ายแล้ว แม้แต่หินที่เย็นก็จะกลายเป็นหินที่อุ่นขึ้นได้ หากเทียบกับสุภาษิตไทย ก็อาจจะคล้ายๆกับ “ความพยายามอยุ่ที่ไหน ความสำเร็จอยู่ที่นั่น” หรือ “น้ำหยดบนหิน ทุกวันหินยังกร่อน” แล้วทำไมถึงต้อง 3 ปี คำตอบคือ การที่เราจะเรียนรู้สิ่งใดสิ่งหนึ่งได้ผลสัมฤทธิ์ดีนั้น คุณจำเป็นต้องให้เวลากับสิ่งๆนั้น ในหนึ่งปีแรกนั้น เราอาจจะได้เรียนรู้ความรู้พื้นฐานในสิ่งนั้นทั้งหมด และในปีที่สองถัดมา องค์รวมความรู้ที่เราสะสมไว้ก็จะเริ่มออกดอกออกผล เราสามารถนำความรู้มาใช้งานได้อย่างดีมากขึ้น และในปีที่สาม ผู้เขียนมองว่า เป็นปีหัวเลี้ยวหัวต่อ ระหว่างการเลือกในสิ่งที่เรารู้อยู่แล้ว และจะพัฒนาไปให้ดียิ่งๆขึ้น หรือ เราอาจจะพบว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่ไม่ใช่สิ่งที่เราต้องการจริงๆ และสุดท้าย เราอาจจะล้มเลิก หรือเบนเข็มไปในทิศทางอื่น ดังนั้น ในช่วงเวลาสามปี จึงเป็นช่วงเวลาแห่งการเรียนรู้ ลองผิดลองถูก และท้าทายความสามารถตัวเอง หากสุดท้ายแล้ว…
-
ถ้าไม่มีมะละกอ ลองใช้สิ่งนี้ทำส้มตำดู ใกล้เคียงมะละกอมากที่สุด
วันนี้ขอนอกเรื่องมาแชร์เกร็ดเล็กๆน้อย กับการใช้ชีวิตในต่างแดนแบบนี้ เชื่อแน่ว่า เมื่อมาอยู่ต่างประเทศนานๆแบบนี้ คนไทยแทบทุกคน จะโหยหาส้มตำแน่นอน แต่เมื่อประเทศหนาว มักจะหาวัตถุดิบเขตร้อน เช่น มะละกอ ยากมาก บ้างก็เลือกเปลี่ยนเป็นตำแตง ตำหน่อไม้ หรืออะไรก็แล้วแต่สูตรแต่ละคน ในเมื่อมะละกอแสนจะหายาก และถึงมีก็ราคาแพงแสนแพง แล้วจะทำอย่างไรดี ในเมื่อส้มตำ ก็อยากกินใจแทบขาดแบบนี้ แต่รู้หรือไม่ว่า จริงๆแล้ว มีวัตถุดิบ (พืช) ชนิดหนึ่ง ที่สามารถนำมาทำส้มตำแบบที่เรียกว่า เหมือน หรือ ใกล้เคียงกับมะละกอจริงๆมาก และเป็นพืชที่หาได้ง่ายกว่าในประเทศเขตหนาว หาง่ายกว่า และราคาถูกกว่ามะละกอ สิ่งนั้นคือ หัวไชเท้า (Radish) นี่แหละ ให้ความกรอบ คล้ายมะละกอ และเมื่อลดความเผ็ดในตัวหัวไชเท้าออกไปได้ เคล้ากับน้ำส้มตำ เรียกว่า คุณอาจจะลืมมะละกอไปเลยก็ได้ เคล็ดลับมันอยู่ตรงที่ เมื่อคุณได้หัวไขเท้ามา ให้ขูดเป็นเส้นๆเหมือนมะละกอตามต้องการ เสร็จแล้ว ให้แช่ในน้ำเย็นผสมน้ำแข็ง หรือน้ำเย็นจัด อย่างน้อย…
-
โตขึ้นอยากเป็นอะไร คำถามที่ผู้ใหญ่หลายคนก็อาจจะไม่รู้คำตอบ
“โตขึ้นอยากเป็นอะไร” คำถามที่ครั้งหนึ่งในสมัยเด็ก ผู้เขียนเคยตอบตามแพทเทิร์นเดิมๆ “หมอ วิศวะ” แต่ลึกๆแล้ว ผู้เขียน “โตมาแบบที่ไม่รู้ว่าตนเองชอบหรืออยากจะเป็นอะไร” ย้อนไปในยุคสมัยที่ผู้เขียนเป็นเด็กนักเรียน ไปโรงเรียนจันทร์ ถึง ศุกร์ เริ่มเรียนตั้งแต่ 8 โมงครึ่ง เลิกเรียนสี่ถึงห้าโมงเย็น โดยประมาณ เร็วหน่อยก็เลิกเรียนสามโมงครึ่ง แต่นับว่าเป็นส่วนน้อย รวมเวลาพักหนึ่งชั่วโมง ที่เหลือก็เป็นชั่วโมงเรียนประมาณวันละ 6-7 คาบ ซึ่งยังไม่นับรวมเวลาหลังเลิกเรียน ที่เด็กไทยส่วนใหญ่ มักจะมีเรียนพิเศษต่อ หรือเรียนเสริมเพิ่มเติมพิเศษอื่นใด แต่ถึงช่วงชีวิตในวัยเรียน ในแต่ละวันเราจะหมดไปกับชั่วโมงเรียนในห้องเรียนถึงวันละ 6-7 ชั่วโมง คำถามคือ คุณภาพของการเรียนที่ เราได้รับ “เหมาะสมเพียงพอแค่ไหน ที่จะทำให้เด็กไทย เติบโตขึ้นมาเป็นผู้ใหญ่ที่ไม่ใช่พร้อมแค่ไอคิวสติปัญญา แต่ยังรวมถึงความพร้อมทาง วุฒิภาวะทางอารมณ์ ตรรกะการประมวลผล การคิดวิเคราะห์ นำองค์ความรู้ทางทฤษฎีตามตำรา ไปปรับใช้จริงๆ ในชีวิต” คำถามนี้ดังหนักแน่นขึ้น เมื่อผู้เขียนผ่านพ้นวัยเรียน เป็นผู้ใหญ่เต็มตัว และผ่านประสบการณ์ในชีวิตมาระดับหนึ่ง ในวัยมัธยมปลาย ผู้เขียนเรียนในสายวิทย์-คณิต ตามที่พ่อแม่แนะให้เรียน ซึ่งถามว่าเรียนได้ไหม…
-
คิดคอนเทนต์ไม่ออก หรือเราลืมสิ่งนี้ไป
ในวันที่ “เขียนอะไร” ไม่ออก ในวันที่ “ไม่รู้ว่าจะเขียนคอนเทนต์” อะไรดี ไม่ใช่ทุกวันที่เราจะสามารถสร้างสรรค์เนื้อหาการเขียนให้ออกมาดีได้ ไม่ใช่ทุกวันที่เราจะมีไอเดีย หรือเรื่องราวในการเขียน ถ่ายทอดออกมาได้ บางครั้ง เราอาจใช้เวลาเป็นชั่วโมงๆในการตรึกตรองว่าควรจะเขียนเรื่องอะไรดี และในวันแบบนั้น เมื่อได้ลองหลับตาลงนิ่งๆ สูดหายใจลึกๆสักครู่ นิ้วมือที่หยุดนิ่งเมื่อครู่ใหญ่นั้น ก็เริ่มขยับขึ้นลงบนแป้นพิมพ์ ถ่ายทอดความคิดในขณะนั้นที่พลั่งพรูออกมา ไม่ใช่คอนเทนต์แปลกใหม่อะไร เพียงแต่ใช้ความคิด ณ ขณะนั้น ประมวลและ “เรื่องราวที่เขียนไม่ออก” ก็กลับกลายเป็นคอนเทนต์ขึ้นมาได้ เช่นกัน บางครั้ง เราอาจจะพยายามมองเรื่องราวที่ไกลตัวจนเกินไป จนลืมไปว่า จริงๆแล้ว เรื่องราวใกล้ๆตัวนี่แหละ คือ คอนเทนต์ดีๆ นี่เอง ไม่สำคัญว่าเรื่องราวที่เขียนจะต้องเป็น “คอนเทนต์ที่ยอมเยี่ยม” เสมอไป บางครั้ง “คอนเทนต์ที่ปัง” อาจจะเกิดขึ้นในขณะที่เราไม่ตั้งใจ ก็เป็นได้ การหยิบยกเรื่องราวง่ายๆใกล้ๆตัวออกมา ประมวล และถ่ายทอดความคิดออกมา “โดยยึดหลักที่ว่า ผู้อ่านจะได้รับสาระ หรือ เป็นประโยชน์ในแง่หนึ่งแง่ใดกับผู้อ่าน” น่าจะเป็นตัวเลือกที่ดีไม่น้อย เพราะเรื่องใกล้ตัว คือ เรื่องที่เรารู้และเข้าใจได้ดีที่สุด…
-
arrows Be มือถือล้าง(น้ำ)ทำความสะอาดได้
ไม่ต้องขยี้ตา เพราะคุณอ่านไม่ผิดแน่นอน มือถือล้างน้ำได้ มีอยู่จริง เมื่อพูดถึงโทรศัพท์มือถือ หรือแม้แต่อุปกรณ์ไอที เรามักจะติดภาพว่า เป็นอุปกรณ์ที่ควรหลีกเลี่ยงให้ห่างไกลน้ำเป็นดีที่สุด แต่ตอนนี้มีโทรศัพท์มือถือที่ฉีกกฎข้อนี้ไปอย่างสิ้นเชิง เมื่อถูกผลิตมาให้สามารถโดนน้ำและล้างทำความสะอาดได้ arrows Be คือชื่อรุ่นแบรนด์สมาร์ทโฟน ภายใต้การผลิตโดยเทคโนโลยีของบริษัทอุปกรณ์ไอทีชื่อดังอย่าง Fujitsu Limited และในปี 2019 arrows Be ถูกเปิดตัวโดยบริษัทญี่ปุ่นชื่อดังอย่าง NTT docomo Inc. บริษัทผู้ให้บริการด้านเครือข่ายโทรศัพท์มือถือ และอื่นๆ รายใหญ่ในญี่ปุ่น จะดีแค่ไหน หากมือถือสามารถล้างทำความสะอาดได้ ในเมื่อมือถือเป็นแหล่งรวมเชื้อโรคมากที่สุดแห่งนึง และยังเป็นสาเหตุต้นๆในการติดเชื้อโรคอย่าง โควิด 19 อีกด้วย ที่ผ่านมาเราอาจทำความสะอาดให้มือถือ คู่ใจด้วยการเช็ดด้วยแผ่นทำความสะอาดประเภทต่างๆ แต่อนาคตต่อจากนี้ไป มือถือที่สามารถล้างน้ำทำความสะอาดได้ อาจจะกลายเป็นทางเลือกที่ดีก็เป็นได้ arrows Be ถูกกล่าวถึงโดยรายการโทรทัศน์ในญี่ปุ่น เมื่อการระบาดของโควิดเกิดขึ้น และเมื่อผู้คนให้ความสำคัญกับการทำความสะอาดมากขึ้นเป็นพิเศษ ทั้งการล้างมือบ่อยๆ การเช็ดแอลกอฮอล์ต่างๆ และมือถือ ที่ถูกเปรียบว่าเป็นเหมือนอวัยวะหนึ่งของร่างกาย อุปกรณ์คู่กายใจของมนุษย์ในยุคปัจจุบัน จะดีแค่ไหน หากเราสามารถล้างทำความสะอาดมือถือ ที่เป็นแหล่งสะสมของเชื้อโรคต่างๆได้ …
-
เมื่อ โควิด มาเปลี่ยนชีวิต (ประจำวัน)
การมาของโควิด19 แบบไม่ทันตั้งตัว ได้เข้ามาเปลี่ยนแปลงชีวิตของมนุษย์กันถ้วนทั่ว หากจะบอกว่า New normal หรือวิถีชีวิตใหม่ ที่เป็นผลจากโควิด คืออะไรบ้าง คงต้องไล่เรี่ยงกันตั้งแต่เรื่องใหญ่ๆ ระดับภาคส่วนต่างๆ จนไปถึงเรื่องเล็กๆน้อยรอบตัว ในชีวิตประจำวันของพวกเรา วันนี้ผู้เขียนจะเล่าเรื่องเบาๆ เป็นอีกมุมนึงในญี่ปุ่น มาให้ผู้อ่านให้เห็นวิธีการรับมือกับโควิด สไตล์ญึ่ปุ่นกันบ้าง ญี่ปุ่น ที่ซึ่งผู้เขียนพักอาศัยอยู่ ณ ขณะนี้ การใช้ชีวิตประจำวันต่างๆมีการรับประเปลี่ยนไปทั้งร้านอาหาร ไปจนถึงการโดยสารรถสาธารณะ รถเมล์สาธารณะที่ญี่ปุ่น มีจุดเด่นในเรื่องของความสะอาดอยู่แล้ว จึงไม่น่าเป็นห่วงอะไรนัก แต่ตั้งแต่โควิดเข้ามา รสเมล์ที่ญี่ปุ่นก็เพิ่มมาตราการมากขึ้นอีกนิด โดยขอเป็นความร่วมมือจากประชาชนให้ร่วมด้วยช่วยกัน ดังนี้ เปิดหน้าต่างให้อากาศถ่ายเทอยู่เสมอ ไม่เอามือไปสัมผัสหน้า ตา จมูก ปาก พูดคุยโดยใช้เสียงเบา และใส่แมสอยู่เสมอ ซึ่งมาตรการสำหรับรถเมล์สาธารณะนี้ ถูกติดประกาศทั่วทุกมุมรถเพื่อให้ประชาชนได้เห็นอย่างชัดเจน และเท่าที่ผู้เขียนสัมผัสมา ก็ได้รับการตอบรับและปฏิบัติตามจากประชาชนคนญี่ปุ่นส่วนใหญ่ ในช่วงที่โควิดระบาดในญี่ปุ่น คนญี่ปุ่นหลายคนก็กังวลกับการต้องขึ้นรถโดยสารสาธารณะ ไม่ว่าจะเป็น รถไฟ รถเมล์…
-
ไอเดียดีแต่ไม่มีคนปฏิบัติ ก็อาจไร้ผล
ตอนนี้ญี่ปุ่น โดยกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคม ได้ออกแอพพลิเคชั่น ชื่อ COCOA เป็นแอพที่ออกมาเพื่อป้องกันการระบาดของโควิดในญี่ปุ่น อย่างที่ทราบกันว่า ตอนนี้ตัวเลขผู้ติดเชื้อโควิดในญี่ปุ่นพุ่งสูงขึ้นรายวัน เฉพาะในโตเกียวอย่างเดียว พบผู้ติดเชื้อ200-300 ราย และอีกหลายๆจังหวัดเกือบทั่วประเทศ ตัวเลขก็พุ่งสูงขึ้น หลังจากปลดล็อคประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินสถานการณ์ไม่ได้ดีขึ้น กลับดูเหมือนจะแย่ลง ในญี่ปุ่น หลายๆภาคส่วนก็ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด พยายามหาวิธีรับมือกับโควิดและทำอย่างไรให้ประชาชนยังสามารถดำเนินชีวิตปกติ ประกอบธุรกิจไปพร้อมๆกับการป้องกันการระบาด ทางกระทรวงแรงงานและสวัสดิการสังคมของญี่ปุ่นได้ออกแอพ COCOA โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการระบาดไม่ให้ลุกลามมากขึ้น โดยแอพจะประกอบด้วย 2 ส่วนหลักๆคือ ผู้ติดเชื้อ ต้องให้ความร่วมมือในการลงทะเบียนในแอพว่าตนติดเชื้อ ผู้ที่ไม่ติดเชื้อ เมื่อดาวน์โหลดแอพนี้มาใช้ หากออกไปข้างนอก และอยู่ในรัศมีที่มีผู้ติดเชื้ออยู่ใกล้ แอพจะแจ้งเตือนให้ทราบ แต่ไม่มีการเปิดเผยข้อมูลส่วนตัวว่า ผผู้ติดเชื้อคือใคร เพียงแต่แจ้งเตือนให้ทราบว่า มีผู้ติดเชื้ออยู่ในรัศมี ทางที่ดีควรหลีกเลี่ยงจากบริเวณนั้น นี่คือ หลักการทำงานของแอพตัวนี้ ซึ่งในทางทฤษฏี ผู้เขียนมองว่า อย่างน้อยที่สุด ก็เป็นประโยชน์ได้ไม่มากก็น้อย อาจจะไม่ใช่วิธีการป้องกันโรคได้ 100% แต่อย่างน้อย ก็ช่วยให้ผู้ที่ยังไม่ติดเชื้อได้ทราบว่า พื้นที่ใดควรหลีกเลี่ยงหรือไม่ ซึ่งหากได้รับความมืออย่างจริงจังจากประชาชน ย่อมจะสามารถใช้ประโยชน์จากแอพนี้ได้อย่างไม่ต้องสงสัย ไม่มากก็น้อย เพียงแต่…